สพาน รัษฎาภิเศก ลำปาง ขับรถผ่านสะพานนี้พอดีก็เลยแวะเอาภาพมาฝากเผื่อใครได้ไปเที่ยวแถวนั้น ที่นี่ก็คงเป็นที่แห่งประวัติศาสตร์อะนะ
ข้อมูลเพิ่มเติม (http://www.hotsia.com/lampang/942.shtml)
สะพานรัษฎาภิเศก
ข้อมูลเพิ่มเติม (http://61.19.35.59/poompanya/index.php?option=com_content&task=view&id=23&Itemid=38)
แม้คำจำกัดความของคำว่า สะพาน หมายถึง สิ่งปลูกสร้างที่ทำสำหรับข้ามแม่น้ำลำคลอง ซึ่งในเมืองไทย มีสะพานที่มีชื่อเสียงข้าม แม่น้ำสำคัญ ๆ หลายสายด้วยกัน หากสังเกตที่ชื่อเสียงเรียงนามของสะพานแต่ละแห่งให้ดีแล้วจะพบว่าชื่อของสะพานเหล่านี้ย่อมมีที่ มาที่ไปทั้งสิ้น ซึ่งผู้คนที่ผ่านไปมาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันอาจจะไม่ทราบด้วยซ้ำว่า สะพานที่ใช้อยู่นั่นมีเรื่องราวที่น่าสนใจและคุณค่าอย่างไร หากพลิกดูปูมประวัติของสะพานแห่งนี้ ย้อนรอยไปกว่า 100 ปี ใสยุคสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.4) ณบริเวณที่เป็นที่ตั้งสะพานรัษฎาภิเศกในปัจจุบันที่ตรงนี้คือที่ตั้งของสะพานชั่วคราว หรือ ขัวหลวง เพื่อให้ชาวบ้านชาวเมือง 2 ฝั่ง แม่น้ำวังได้ใช้เดินข้ามมาหากัน บ่อยครั้งเมื่อถึงฤดูน้ำหลากสภาพของแม่น้ำวังสมัยก่อนไม่เหมือนกับยุคนี้เพราะมีน้ำมาก ไกลแรงและเชี่ยวกราก เมื่อน้ำเหนือไหลบ่ามาแต่ละครั้งมีความรุนแรงพัดพาหอบเอาทุกสิ่งที่ขวางหน้า ขัวหลวงที่สร้างขึ้น ก็พอได้รับผลกระทบจากสภาวะธรรมชาติในลักษณะดังกล่าว ปี 2402 ขัวหลวงก็ยุบพังลงมาใน สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) เจ้าหลวงนรนันท์ไชยชวลิต (เจ้าผู้ครองนครลำปางองค์ที่ 9 ) บิดาของพลตรีมหาอำมาตย์โทเจ้าบุญวาทย์วงค์มานิต (เจ้าผู้ครองนคาลำปางองค์ที่ 10) ได้ระดมเรี่ยไรเงินจากราษฎรได้จำนวนหนึ่งสมทบกับเงินของทางราชการสร้างสะพานไม้ข้ามแม่น้ำวัง ณ จุดเดิม ขนาด 2 โค้ง ยาว
120 เมตร แล้วเสร็จเมื่อปี 2439 เรียกว่า สะพานนครลำปาง แต่มีอายุได้ 6 ปี ก็เริ่มทรุดโทรม
ในสมัย สมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.6) เจ้าพระยาวงศานุประพันธ์เสนาบดีกระทรวงคมนาคมในขณะนั้น ได้จัดสรรงบประมาณสร้างสะพานคอนกรีตเสริมเหล็กมี 4 โค้ง ยาว 130 เมตร กว้างขนาดรถยนต์ 4 ล้อแล่นสวนทางกันได้ แล้วเสร็จเมื่อเดือนมีนาคม 2460 ให้ชื่อว่า ขัวหลวงรัษฎาภิเศก หรือ สะพานรัษฎาภิเศก ใช้ประโยชน์มาตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 จนถึงปัจจุบัน
แม้สะพานรัษฎาภิเศกมีอายุยืนยาว หากเปรียบเทียบกับชีวิตคนวัยนี้ถือว่าแก่เฒ่าชรามากแล้วแต่สำหรับสะพานแห่งนี้ยังคงมีโครงสร้างที่มั่นคงแข็งแรงไม่มีร่องรอบสึกหรอ หรือแตกร้าวผุกร่อนแต่อย่างใด สะพานแห่งนี้ได้ให้ประโยชน์และคุณค่าของความเป็นสะพานเหนือกว่าสะพานอื่น ๆ ที่มีอยู่ทั่วไปในจังหวัดลำปางเพราะสะพานแห่งนี้เกิดในยุคสมครามโลกครั้งที่ 1 ในตัวเมืองลำปางเป็นพื้นที่เป้าหมายหนึ่งในสงครามครั้งนั้นสะพานแห่งนี้จึงมีบทบาทที่สำคัญในการเป็นเส้นทางผ่านของการลำเลียง
กำลังพลและเสบียงอาหารให้กับกองทหารในสมรภูมิรบ
ในด้านเศรษฐกิจนั้น แต่เดิมการค้าขายระหว่างหัวเมืองฝ่ายเหนือกับฝ่ายใต้รวมทั้งกับทางกรุงเทพมหานคร นิยมค้าขายทางน้ำทั้ง ทางขึ้นและทางลงจากลำปางถึงปากน้ำโพธิ์ นครสวรรค์และกรุงเทพ สินค้าขาล่องจากลำปางได้แค่ คลั่ง งา ปืนดาบ ศิลา และเครื่องจักรสาน ส่วนสินค้าขาเข้าได้แก่ เกลือ น้ำมัน ก๊าซ ไม้ขีดไฟ ปลาแห้ง ปลาเค็ม เสื้อผ้า จุดศูนย์กลางการค้าขายคือบริวเณวัดเกาะวารุ-การราม และบริเวณตลาดใกล้กับสะพานรัษฎาภิเศกในตัวเมืองลำปาง วัดโบราณเจดีย์ ประตูเมืองเก่า คูเมืองเก่า ฯลฯ และยังเชื่อมต่อกับเมืองเก่า อาลัมภางค์ อยู่ห่างออกไปทางด้านตะวันตกราว 1 กิโลเมตร ซึ่งภายหลัง 2 เมืองนี้รวมกันเป็น เขลางค์อาลัมภางค์นคร เพี้ยนเป็น นครลำภางค์ และกลางมาเป็น นครลำปาง ในเวลาต่อมา ที่กล่าวถึงเรื่องดังกล่าวมีทั้งศิลาจารึก ตำนานจามเทวีวงศ์ ตำนวนวัดศรีล้อมและหลักฐานทางโปราณคดีของกรมศิลปากร กล่าวถึงชื่อของนครลำปาง มีมากถึง 11 ชื่อ ได้แก่ กุกุฎนคร ลัมภกัปปนคร เขลางค์นคร ศรีนครชัย เมืองนครเวียงคอกวัว เวียงดิน นครลำปางคำ เขลางค์อาภัมภางค์นคร เมืองลคร และ นครลำปาง